คอลลาเจน แบบกิน และแบบฉีดให้ผลต่างกันหรือไม่? เลือกแบบไหนดี?
คนรักผิวหรือคนที่ใส่ใจดูแลตัวเองต่างรู้กันดีว่า คอลลาเจน สำคัญต่อผิวแค่ไหน หลายคนจึงพยายามหาวิธีในการเติมคอลลาเจนให้กับผิว เพื่อเสริมคอลลาเจนที่หายไป ซึ่งวิธีที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ เลยก็คือ การกินคอลลาเจน และ การทำหัตการที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธียอดนิยม ก็อาจจะยังมีบางคนที่สงสัยถึงความแตกต่างของสองอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลลัพธ์ว่าต่างกันไหม หรือต้องเลือกวิธีไหนดี บทความนี้เราจึงจะชวนมาดูข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อเอาไว้ประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีเติมคอลลาเจนที่เหมาะกับตัวเองกัน
คอลลาเจนช่วยอะไร?
คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง ขน เส้นผม กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น รวมไปถึงกล้ามเนื้อ มีหน้าที่ยึดเกาะเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเข้าด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องผิวพรรณ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง มีความเรียบเนียน กระชับเต่งตึงแล้ว คอลลาเจนช่วยอะไร อีกบ้าง ตามไปดูกัน
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อและกระดูก ป้องกันการเกิดโรคข้อเสื่อม
- ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
- ช่วยให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะแตกหักง่าย
- ช่วยให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
โดยปกติแล้วร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการทำงานในร่างกายเริ่มถดถอย จึงทำให้ผลิตคอลลาเจนออกมาได้น้อยลง และส่งกระทบผลต่อผิว หรือส่วนอื่นของร่างกาย ผู้คนจึงเริ่มตระหนักและมองหาวิธีเติมคอลลาเจนกัน แต่อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า การเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย สามารถทำได้ทั้งการกินและฉีด ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีไหน ลองไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสองอย่างนี้ก่อนว่า แต่ละแบบคืออะไร แล้วค่อยไปดูข้อมูลเปรียบเทียบกัน
คอลลาเจนแบบกิน คืออะไร
คอลลาเจนที่ถูกผลิตขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของอาหารเสริมรับประทานได้ มีหลายชนิด เช่น แบบเม็ด แบบผง แบบเครื่องดื่ม แบบเจลลี่ เป็นต้น โดยส่วนมากมีส่วนประกอบที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ซึ่งปริมาณของคอลลาเจนที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด จะมีปริมาณแตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีการแบ่งประเภทของคอลลาเจนว่าเป็น คอลลาเจนสำหรับผิว หรือคอลลาเจนสำหรับกระดูกและข้อต่ออีกด้วย
หัตถการที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน คืออะไร
หัตถการสามารถทำได้ทั้งการใช้ Energy based devices, การฉีดผ่านทางเส้นเลือด และฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อให้เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนผลิตคอลลาเจนขึ้นใหม่ โดยในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย มีคุณสมบัติและส่วนประกอบที่แตกต่างกันไป รวมถึงเทคนิคที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างของคอลลาเจนแบบกิน และแบบทำหัตถการ
หลักการทำงานของคอลลาเจนแต่ละประเภท
คอลลาเจนแบบกิน: ต้องผ่านกระบวนการย่อยทางร่างกายก่อน จึงจะเกิดการดูดซึมสารอาหารมาใช้ได้ ซึ่งจะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
คอลลาเจนแบบหัตถการ: ร่างกายได้รับการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน จึงทำให้เห็นผลไวกว่าแบบกิน
ผลลัพธ์
คอลลาเจนแบบกิน: ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง และยืดหยุ่นดีขึ้นช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและข้อต่อ
คอลลาเจนแบบหัตถการ:ปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมช่วยผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์อีกทั้งยังฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมให้ดูเปล่งปลั่งสดใส
คอลลาเจนแต่ละแบบเหมาะกับใครบ้าง
คอลลาเจนแบบกิน: เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่แค่เรื่องผิวอย่างเดียว
คอลลาเจนแบบหัตถการ: เหมาะผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย หน้าโทรมไม่สดใส
กูริ PCL 21% นวัตกรรม Fully Liquid PCL จากประเทศเกาหลี
จากข้อมูลข้างต้นก็คงจะทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าต้องการดูแลในด้านผิวหน้าเป็นหลัก หรือมีปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข การกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนในร่างกายด้วยการทำหัตถการจะตอบโจทย์มากกว่าแบบกิน เพราะฉะนั้นเราจึงจะมาแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำหัตถการเพื่อตัวกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการ Inflammation และสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวด้วย กูริ
กูริ คือ โปรแกรมหัตถการงานผิว เป็นการนำส่งสาร PCL 21% เข้าสู่ผิว ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการ Inflammation และสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้เซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟูบำรุงจากภายใน ซึ่งมีจุดเด่น ดังนี้
- สาร PCL 21% ที่ใช้ได้รับการพัฒนาและคิดค้นให้อยู่ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid PCL) ที่ไม่มีการผสมน้ำกลั่น จึงลดโอกาสที่จะเกิดสิ่งตกค้างใต้ชั้นผิวหนัง
- ด้วยความที่มีลักษณะเป็นของเหลวจึงกระจายตัวได้ดี ทำให้ไม่ต้องทำหลายจุด
- ให้ผลลัพธ์ผิวที่ดีขึ้นหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผิวกระชับ มีความยืดหยุ่นแข็งแรง ช่วยลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส
- เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ในระยะประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
หลังจากได้อ่านข้อมูลดังกล่าวแล้ว หวังว่าจะช่วยให้หลายคนเข้าใจถึงความแตกต่างของ คอลลาเจนแบบกิน และแบบทำหัตถการ ได้กระจ่างมากขึ้น และเป็นแนวทางในการเลือกได้ว่า วิธีไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่ากัน
บทความอื่นๆที่ใกล้เคียง
สารบัญเนื้อหา
คนรักผิวหรือคนที่ใส่ใจดูแลตัวเองต่างรู้กันดีว่า คอลลาเจน สำคัญต่อผิวแค่ไหน หลายคนจึงพยายามหาวิธีในการเติมคอลลาเจนให้กับผิว เพื่อเสริมคอลลาเจนที่หายไป ซึ่งวิธีที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ เลยก็คือ การกินคอลลาเจน และ การทำหัตการที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธียอดนิยม ก็อาจจะยังมีบางคนที่สงสัยถึงความแตกต่างของสองอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลลัพธ์ว่าต่างกันไหม หรือต้องเลือกวิธีไหนดี บทความนี้เราจึงจะชวนมาดูข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อเอาไว้ประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีเติมคอลลาเจนที่เหมาะกับตัวเองกัน
คอลลาเจนช่วยอะไร?
คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง ขน เส้นผม กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น รวมไปถึงกล้ามเนื้อ มีหน้าที่ยึดเกาะเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเข้าด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องผิวพรรณ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง มีความเรียบเนียน กระชับเต่งตึงแล้ว คอลลาเจนช่วยอะไร อีกบ้าง ตามไปดูกัน
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อและกระดูก ป้องกันการเกิดโรคข้อเสื่อม
- ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
- ช่วยให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะแตกหักง่าย
- ช่วยให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
โดยปกติแล้วร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการทำงานในร่างกายเริ่มถดถอย จึงทำให้ผลิตคอลลาเจนออกมาได้น้อยลง และส่งกระทบผลต่อผิว หรือส่วนอื่นของร่างกาย ผู้คนจึงเริ่มตระหนักและมองหาวิธีเติมคอลลาเจนกัน แต่อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า การเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย สามารถทำได้ทั้งการกินและฉีด ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีไหน ลองไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสองอย่างนี้ก่อนว่า แต่ละแบบคืออะไร แล้วค่อยไปดูข้อมูลเปรียบเทียบกัน
คอลลาเจนแบบกิน คืออะไร
คอลลาเจนที่ถูกผลิตขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของอาหารเสริมรับประทานได้ มีหลายชนิด เช่น แบบเม็ด แบบผง แบบเครื่องดื่ม แบบเจลลี่ เป็นต้น โดยส่วนมากมีส่วนประกอบที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ซึ่งปริมาณของคอลลาเจนที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด จะมีปริมาณแตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีการแบ่งประเภทของคอลลาเจนว่าเป็น คอลลาเจนสำหรับผิว หรือคอลลาเจนสำหรับกระดูกและข้อต่ออีกด้วย
หัตถการที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน คืออะไร
หัตถการสามารถทำได้ทั้งการใช้ Energy based devices, การฉีดผ่านทางเส้นเลือด และฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อให้เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนผลิตคอลลาเจนขึ้นใหม่ โดยในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย มีคุณสมบัติและส่วนประกอบที่แตกต่างกันไป รวมถึงเทคนิคที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างของคอลลาเจนแบบกิน และแบบทำหัตถการ
หลักการทำงานของคอลลาเจนแต่ละประเภท
คอลลาเจนแบบกิน: ต้องผ่านกระบวนการย่อยทางร่างกายก่อน จึงจะเกิดการดูดซึมสารอาหารมาใช้ได้ ซึ่งจะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
คอลลาเจนแบบหัตถการ: ร่างกายได้รับการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน จึงทำให้เห็นผลไวกว่าแบบกิน
ผลลัพธ์
คอลลาเจนแบบกิน: ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง และยืดหยุ่นดีขึ้นช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและข้อต่อ
คอลลาเจนแบบหัตถการ:ปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมช่วยผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์อีกทั้งยังฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมให้ดูเปล่งปลั่งสดใส
คอลลาเจนแต่ละแบบเหมาะกับใครบ้าง
คอลลาเจนแบบกิน: เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่แค่เรื่องผิวอย่างเดียว
คอลลาเจนแบบหัตถการ: เหมาะผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย หน้าโทรมไม่สดใส
กูริ PCL 21% นวัตกรรม Fully Liquid PCL จากประเทศเกาหลี
จากข้อมูลข้างต้นก็คงจะทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าต้องการดูแลในด้านผิวหน้าเป็นหลัก หรือมีปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข การกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนในร่างกายด้วยการทำหัตถการจะตอบโจทย์มากกว่าแบบกิน เพราะฉะนั้นเราจึงจะมาแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำหัตถการเพื่อตัวกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการ Inflammation และสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวด้วย กูริ
กูริ คือ โปรแกรมหัตถการงานผิว เป็นการนำส่งสาร PCL 21% เข้าสู่ผิว ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการ Inflammation และสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้เซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟูบำรุงจากภายใน ซึ่งมีจุดเด่น ดังนี้
- สาร PCL 21% ที่ใช้ได้รับการพัฒนาและคิดค้นให้อยู่ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid PCL) ที่ไม่มีการผสมน้ำกลั่น จึงลดโอกาสที่จะเกิดสิ่งตกค้างใต้ชั้นผิวหนัง
- ด้วยความที่มีลักษณะเป็นของเหลวจึงกระจายตัวได้ดี ทำให้ไม่ต้องทำหลายจุด
- ให้ผลลัพธ์ผิวที่ดีขึ้นหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผิวกระชับ มีความยืดหยุ่นแข็งแรง ช่วยลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส
- เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ในระยะประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
หลังจากได้อ่านข้อมูลดังกล่าวแล้ว หวังว่าจะช่วยให้หลายคนเข้าใจถึงความแตกต่างของ คอลลาเจนแบบกิน และแบบทำหัตถการ ได้กระจ่างมากขึ้น และเป็นแนวทางในการเลือกได้ว่า วิธีไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่ากัน